การออกแบบออฟฟิศที่เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรใหม่
งานออกแบบที่มาพร้อมกับการสร้างแบรนดิ้ง
สายน้ำแห่งชีวิต
Office : Co Working
Work Space : Co Working
Designed and Installation by
In Design and Consultant Co.,Ltd.
ออกแบบออฟฟิศ, ออกแบบสำนักงาน, office design, office interior design
office design knowledge
บริษัท อินดีไซน์ แอนด์ คอนซัลแทนท์ จำกัด
เราได้นำหลักการออกแบบออฟฟิศสีเขียวมาใช้ในการออกแบบให้กับลูกค้าเพื่อลดการปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ สู่ชั้นบรรยากาศ และหลักการออกแบบประหยัดพลังงาน และการรับรอง ISO 14001 : 2015, ISO 9001:2015
หลักการออกแบบออฟฟิศ
การออกแบบออฟฟิศที่ดีควรคำนึงถึงปัจจัยหลายประการ เพื่อให้เกิดสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีประสิทธิภาพและเอื้อต่อการทำงานอย่างมีความสุขของพนักงาน หลักการออกแบบออฟฟิศที่สำคัญ ได้แก่
-
ฟังก์ชันการใช้งาน การออกแบบออฟฟิศควรคำนึงถึงประเภทของธุรกิจและลักษณะงานที่ทำ เพื่อให้มีพื้นที่และอุปกรณ์ที่เพียงพอต่อการทำงานในแต่ละประเภทงาน ตัวอย่างเช่น ออฟฟิศของธุรกิจด้านไอทีอาจต้องการพื้นที่สำหรับการประชุมและการทำงานเป็นทีม ในขณะที่ออฟฟิศของธุรกิจด้านบริการลูกค้าอาจต้องการพื้นที่สำหรับต้อนรับลูกค้า
การออกแบบออฟฟิศตามฟังก์ชันการใช้งาน
-
ความสะดวกสบาย การออกแบบออฟฟิศควรคำนึงถึงความสะดวกสบายของพนักงาน เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข ตัวอย่างเช่น การออกแบบออฟฟิศควรมีแสงสว่างที่ดี อากาศถ่ายเทสะดวก อุณหภูมิเหมาะสม และมีพื้นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ
การออกแบบออฟฟิศเพื่อความสะดวกสบาย
-
ภาพลักษณ์องค์กร การออกแบบออฟฟิศควรสะท้อนถึงภาพลักษณ์ขององค์กร เพื่อให้ลูกค้าและคู่ค้าเกิดความประทับใจ ตัวอย่างเช่น การออกแบบออฟฟิศควรมีความสะอาด เรียบร้อย ทันสมัย และสะท้อนถึงวัฒนธรรมองค์กร
การออกแบบออฟฟิศเพื่อภาพลักษณ์องค์กร
นอกจากหลักการออกแบบออฟฟิศที่สำคัญข้างต้นแล้ว การออกแบบออฟฟิศที่ดีควรคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม ดังนี้
-
ความยืดหยุ่น การออกแบบออฟฟิศควรมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น การออกแบบออฟฟิศควรมีพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่ประชุมหรือพื้นที่ทำงานชั่วคราวได้
การออกแบบออฟฟิศที่มีความยืดหยุ่น
-
ความยั่งยืน การออกแบบออฟฟิศควรคำนึงถึงความยั่งยืน เลือกใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน และลดมลภาวะ
การออกแบบออฟฟิศที่ยั่งยืน
-
ความปลอดภัย การออกแบบออฟฟิศควรคำนึงถึงความปลอดภัยของพนักงาน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
การออกแบบออฟฟิศที่ปลอดภัย
การออกแบบออฟฟิศที่ดีจะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน และสร้างบรรยากาศการทำงานที่มีความสุขให้กับทุกคนในองค์กร
การจัดพื้นที่ออฟฟิศ
การจัดพื้นที่ออฟฟิศที่ดีควรคำนึงถึงปัจจัยหลายประการ เพื่อให้เกิดสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีประสิทธิภาพและเอื้อต่อการทำงานอย่างมีความสุขของพนักงาน ปัจจัยที่สำคัญในการจัดพื้นที่ออฟฟิศ ได้แก่
-
ประเภทของธุรกิจและลักษณะงานที่ทำ ประเภทของธุรกิจและลักษณะงานที่ทำเป็นตัวกำหนดความต้องการพื้นที่และอุปกรณ์ในออฟฟิศ ตัวอย่างเช่น ออฟฟิศของธุรกิจด้านไอทีอาจต้องการพื้นที่สำหรับการประชุมและการทำงานเป็นทีม ในขณะที่ออฟฟิศของธุรกิจด้านบริการลูกค้าอาจต้องการพื้นที่สำหรับต้อนรับลูกค้า
-
จำนวนพนักงาน จำนวนพนักงานเป็นตัวกำหนดขนาดพื้นที่ออฟฟิศที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น ออฟฟิศที่มีพนักงาน 100 คน ต้องการพื้นที่ประมาณ 1,000 ตารางเมตร
-
รูปแบบการทำงาน รูปแบบการทำงานเป็นตัวกำหนดการจัดวางพื้นที่ในออฟฟิศ ตัวอย่างเช่น ออฟฟิศที่พนักงานทำงานเป็นทีมอาจต้องการพื้นที่สำหรับการประชุมและการทำงานร่วมกัน ในขณะที่ออฟฟิศที่พนักงานทำงานเป็นรายบุคคลอาจต้องการพื้นที่สำหรับการทำงานส่วนตัว
นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว การจัดพื้นที่ออฟฟิศที่ดีควรคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม ดังนี้
-
ความยืดหยุ่น การจัดพื้นที่ออฟฟิศควรมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น การจัดพื้นที่ออฟฟิศควรมีพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่ประชุมหรือพื้นที่ทำงานชั่วคราวได้
-
ความสะดวกสบาย การจัดพื้นที่ออฟฟิศควรคำนึงถึงความสะดวกสบายของพนักงาน เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข ตัวอย่างเช่น การจัดพื้นที่ออฟฟิศควรมีแสงสว่างที่ดี อากาศถ่ายเทสะดวก อุณหภูมิเหมาะสม และมีพื้นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ
-
ความปลอดภัย การจัดพื้นที่ออฟฟิศควรคำนึงถึงความปลอดภัยของพนักงาน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
การจัดพื้นที่ออฟฟิศที่ดีจะช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข ส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานและผลลัพธ์ที่ดีขึ้นขององค์กร
แนวทางการจัดพื้นที่ออฟฟิศแบบต่างๆ
การจัดพื้นที่ออฟฟิศสามารถแบ่งออกเป็นรูปแบบต่างๆ ได้ ดังนี้
-
Open Space การจัดพื้นที่แบบ Open Space เป็นการจัดพื้นที่ทำงานแบบเปิดโล่ง โดยไม่มีผนังหรือฉากกั้น พนักงานสามารถมองเห็นกันได้ทั่วทั้งออฟฟิศ การจัดพื้นที่แบบ Open Space ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดและไอเดียใหม่ๆ ได้มากขึ้น และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างและการตกแต่ง
-
การจัดพื้นที่ออฟฟิศแบบ Cellular
-
Cellular การจัดพื้นที่แบบ Cellular เป็นการจัดพื้นที่ทำงานแบบแยกส่วน โดยแต่ละส่วนจะมีผนังหรือฉากกั้นกั้นแยกออกจากกัน การจัดพื้นที่แบบ Cellular ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างเป็นส่วนตัวมากขึ้น และช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอก
-
การจัดพื้นที่ออฟฟิศแบบ Hybrid
-
Hybrid การจัดพื้นที่แบบ Hybrid เป็นการจัดพื้นที่ทำงานที่ผสมผสานระหว่างแบบ Open Space และแบบ Cellular พนักงานสามารถเลือกทำงานในพื้นที่แบบ Open Space หรือแบบ Cellular ได้ตามความต้องการ
-
การเลือกรูปแบบการจัดพื้นที่ออฟฟิศที่เหมาะสมควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ข้างต้น โดยคำนึงถึงประเภทของธุรกิจ ลักษณะงานที่ทำ จำนวนพนักงาน และรูปแบบการทำงาน
Smart Office
สมาร์ทออฟฟิศคือออฟฟิศที่ใช้เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทำงานและการทำงานร่วมกัน เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่สะดวกสบายและปลอดภัย
เทคโนโลยีที่มักใช้ในงานสมาร์ทออฟฟิศ ได้แก่
-
ระบบอัตโนมัติ เช่น ระบบจองพื้นที่ทำงาน ระบบควบคุมแสงสว่าง ระบบปรับอากาศ ระบบรักษาความปลอดภัย เป็นต้น
-
เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ระบบเครือข่าย ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบฐานข้อมูล ระบบซอฟต์แวร์ เป็นต้น
-
อุปกรณ์สื่อสาร เช่น โทรศัพท์ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เป็นต้น
สมาร์ทออฟฟิศมีข้อดีหลายประการ เช่น
-
เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะสามารถเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
-
สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่สะดวกสบายและปลอดภัย เทคโนโลยีต่างๆ ช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยมากขึ้น
-
ลดต้นทุน การใช้เทคโนโลยีช่วยลดค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน เป็นต้น
ตัวอย่างของสมาร์ทออฟฟิศ เช่น
-
ออฟฟิศที่มีระบบจองพื้นที่ทำงานอัตโนมัติ พนักงานสามารถจองพื้นที่ทำงานได้ตามความต้องการ ช่วยให้ประหยัดพื้นที่และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ออฟฟิศที่มีระบบจองพื้นที่ทำงานอัตโนมัติ
-
ออฟฟิศที่มีระบบควบคุมแสงสว่างอัตโนมัติ ระบบจะปรับแสงสว่างตามปริมาณแสงธรรมชาติและความต้องการของพนักงาน ช่วยให้ประหยัดพลังงานและสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่สะดวกสบาย
ออฟฟิศที่มีระบบควบคุมแสงสว่างอัตโนมัติ
-
ออฟฟิศที่มีระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบจะปรับอุณหภูมิและความชื้นในอากาศตามความต้องการของพนักงาน ช่วยให้พนักงานรู้สึกสบายตัวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในปัจจุบัน องค์กรต่างๆ หันมาใช้สมาร์ทออฟฟิศกันมากขึ้น เพราะเชื่อว่าสมาร์ทออฟฟิศจะช่วยให้องค์กรสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การจ้างเหมาแบบ Turnkey
การออกแบบ และการจ้างเหมาแบบ Turnkey สามารถแก้ปัญหาและตอบโจทย์ให้กับลูกค้าได้อย่างครบถ้วน
Turnkey คืองานที่เจ้าของโครงการ ต้องการให้ผู้รับเหมาไปดำเนินการออกแบบ และก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จแต่เพียงเจ้าเดียว ทำให้สะดวกสบายแก่ผู้ว่าจ้าง
ข้อดีของการทำ Turnkey
1. แก้ปัญหาผู้รับเหมาหนีงาน
2. แก้ปัญหาถ้าจ้างคนออกแบบแล้วไม่รู้ว่าจะจ้างผู้รับเหมาใครดี และไม่มีเวลาดูแลติดตาม
3. ควบคุมต้นทุนได้เป็นอย่างดี
4. การออกแบบและก่อสร้างตรงตามเวลา
5. ลูกค้ามีส่วนร่วมในการออกแบบและเลือกวัสดุอย่างเต็มที่
ข้อเสียของการทำ Turnkey
1. ผู้รับทำเทิร์นคีย์บางราย อาจจะลักไก่ไม่ทำตาม Spec ที่คุยกันไว้
2. ถ้าลูกค้าได้ผู้ที่ Turnkey ที่บริษัทเล็กหรือบริษัทเปิดใหม่ อาจจะทำงานได้ไม่มีคุณภาพและขาดประสบการณ์ในการควบคุมงานขนาดใหญ่ จะทำให้ลูกค้าเสียน้อยเสียยาก
ฉะนั้นการเลือกผู้จัดทำ Turnkey ต้องเลือกบริษัทที่มีประสบการณ์สูง จะช่วยลดความเสี่ยงได
หลักการการ ทำงานแบบ Turnkey
1. เจ้าของโครงการถ่ายทอด และเสนอความต้องการที่อยากได้ทั้งหมด รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่เคยเจอมาให้กับผู้ออกแบบ
2. ผู้ออกแบบหรือผู้ทำ Turnkey จะนำ Requirement ที่ได้มาทำการวางแผน, ออกแบบ, Concept Design, และ budget การก่อสร้างทั้งโครงการนำเสนอให้กับเจ้าของโครงการ เพื่อตัดสินใจ
3. เมื่อเจ้าของโครงการตัดสินใจเลือกเจ้า ที่จะทำเทิร์นคีย์แล้วเจ้าที่จะก่อสร้างและตกแต่ง คือผู้ที่ออกแบบนั่นเอง
4. การออกแบบและตกแต่งก่อสร้าง สามารถดำเนินไปพร้อมกันถ้าเวลาน้อย สามารถเปลี่ยนแปลงแบบได้บ้าง เพิ่มเติมหรือลดได้ตลอด เพื่อจัดสรรให้อยู่ในงบประมาณ โดยการคุยกันระหว่างเจ้าของโครงการและผู้ออกแบบและตกแต่งไปพร้อมกัน
5. ระยะเวลาการออกแบบและก่อสร้าง และกระบวนการทำงานจะเสร็จตามกำหนดการอย่างแน่นอน
6. ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับผู้รับเหมาทิ้งงานนี้ผู้ออกแบบหรือผู้ทำ Turnkey จะเป็นผู้รับผิดชอบกับงานที่ล่าช้าหรืองานไม่เรียบร้อยทั้งหมด
โดยทั่วไปเอกสารประกอบการก่อสร้างงาน Turnkey จะมีความสำคัญมาก
จะมีการกำหนดไว้ว่าพื้นที่บริเวณใดใช้วัสดุชนิดใด ยี่ห้อ ระยะเวลา และอื่นๆ อีกมากมาย
การเลือกใช้วัสดุในการออกแบบออฟฟิศ
การเลือกใช้วัสดุในการออกแบบออฟฟิศมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะวัสดุต่างๆ จะช่วยกำหนดบรรยากาศและความรู้สึกในการทำงานของพนักงาน การเลือกวัสดุที่เหมาะสมจะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานและสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีความสุขให้กับทุกคนในองค์กร
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกใช้วัสดุในการออกแบบออฟฟิศ ได้แก่
-
ฟังก์ชันการใช้งาน วัสดุที่ใช้ควรเหมาะสมกับประเภทของธุรกิจและลักษณะงานที่ทำ ตัวอย่างเช่น ออฟฟิศของธุรกิจด้านไอทีอาจต้องการวัสดุที่ทันสมัยและทนทาน ในขณะที่ออฟฟิศของธุรกิจด้านบริการลูกค้าอาจต้องการวัสดุที่อบอุ่นและผ่อนคลาย
-
ความสะดวกสบาย วัสดุที่ใช้ควรให้ความสะดวกสบายแก่พนักงาน ตัวอย่างเช่น วัสดุที่ใช้ควรมีความปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และสามารถทำความสะอาดได้ง่าย
-
ภาพลักษณ์องค์กร วัสดุที่ใช้ควรสะท้อนถึงภาพลักษณ์ขององค์กร ตัวอย่างเช่น วัสดุที่ใช้ควรมีความทันสมัย หรูหรา หรือเรียบง่าย ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมองค์กร
-
ความยั่งยืน วัสดุที่ใช้ควรคำนึงถึงความยั่งยืน ประหยัดพลังงาน และลดมลภาวะ
ตัวอย่างวัสดุที่มักใช้ในงานออกแบบออฟฟิศ ได้แก่
-
วัสดุธรรมชาติ วัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ หิน อิฐ ช่วยให้บรรยากาศในการทำงานดูอบอุ่นและผ่อนคลาย วัสดุธรรมชาติยังมีคุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ดูดซับเสียง ป้องกันมลภาวะ และสร้างอากาศบริสุทธิ์
-
วัสดุสังเคราะห์ วัสดุสังเคราะห์ เช่น พลาสติก เหล็ก กระจก ช่วยให้บรรยากาศในการทำงานดูทันสมัยและสะอาดตา วัสดุสังเคราะห์มีความทนทานและดูแลรักษาง่าย แต่อาจก่อให้เกิดมลภาวะได้
-
วัสดุผสม วัสดุผสม เช่น ไม้อัด ไม้ลามิเนต หินสังเคราะห์ ช่วยให้บรรยากาศในการทำงานดูทันสมัยและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน วัสดุผสมมีความทนทานและดูแลรักษาง่าย
การเลือกวัสดุในการออกแบบออฟฟิศควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ข้างต้น โดยคำนึงถึงประเภทของธุรกิจ ลักษณะงานที่ทำ จำนวนพนักงาน และรูปแบบการทำงาน เพื่อให้ได้วัสดุที่เหมาะสมและช่วยให้เกิดสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีประสิทธิภาพและมีความสุข
การออกแบบออฟฟิศแนวใหม่
การออกแบบออฟฟิศแนวใหม่ ให้ความสำคัญกับพนักงานเป็นศูนย์กลาง เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานและสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีความสุขให้กับทุกคนในองค์กร โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้
-
ความยืดหยุ่น การออกแบบออฟฟิศควรมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น การออกแบบออฟฟิศควรมีพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่ประชุมหรือพื้นที่ทำงานชั่วคราวได้
-
ความสะดวกสบาย การออกแบบออฟฟิศควรให้ความสะดวกสบายแก่พนักงาน ตัวอย่างเช่น การออกแบบออฟฟิศควรมีแสงสว่างที่ดี อากาศถ่ายเทสะดวก อุณหภูมิเหมาะสม และมีพื้นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ
-
ความยั่งยืน การออกแบบออฟฟิศควรคำนึงถึงความยั่งยืน เลือกใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน และลดมลภาวะ
นอกจากนี้ การออกแบบออฟฟิศแนวใหม่ยังคำนึงถึงปัจจัยด้านสุขภาพและสุขอนามัยของพนักงาน โดยออกแบบพื้นที่ทำงานให้ปลอดภัย ปราศจากมลพิษ และส่งเสริมให้พนักงานออกกำลังกายและพักผ่อนอย่างเพียงพอ
แนวทางการออกแบบออฟฟิศแนวใหม่ ได้แก่
-
การจัดพื้นที่แบบ Hybrid เป็นการจัดพื้นที่ทำงานที่ผสมผสานระหว่างแบบ Open Space และแบบ Cellular พนักงานสามารถเลือกทำงานในพื้นที่แบบ Open Space หรือแบบ Cellular ได้ตามความต้องการ
-
การใช้เทคโนโลยี การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน เช่น ระบบการประชุมทางไกล ระบบจองพื้นที่ทำงาน ระบบติดตามสุขภาพพนักงาน เป็นต้น
-
การออกแบบที่คำนึงถึงสุขภาพและสุขอนามัย การออกแบบพื้นที่ทำงานให้ปลอดภัย ปราศจากมลพิษ และส่งเสริมให้พนักงานออกกำลังกายและพักผ่อนอย่างเพียงพอ
การออกแบบออฟฟิศแนวใหม่ ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข ส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานและผลลัพธ์ที่ดีขึ้นขององค์กร
Green Office
เกี่ยวข้องกับการสร้างแวดล้อมทำงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีหลายวิธีในการทำให้สำนักงานเป็น "กรีน" หรือ "เขียว" ได้ นี่คือบางวิธีที่สามารถใช้เพื่อสร้างกรีนออฟฟิศ:
-
การลดการใช้พลาสติก: ลดการใช้ถ้วยพลาสติกหรือของใช้สิ้นเปลืองอื่นๆ และส่งเสริมการใช้ถ้วยหรือของมังสวิรัติที่สามารถใช้ซ้ำได้
-
การลดการใช้กระดาษ: ใช้กระดาษมากเท่าใดก็ตามที่จำเป็นและส่งเสริมการใช้กระดาษที่มีรูปแบบที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้
-
การใช้พลังงานทดแทน: ใช้พลังงานที่มีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง เช่น การใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลม
-
การสร้างพื้นที่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: สร้างสวนหย่อมหรือพื้นที่เล็กๆ สำหรับการปลูกพืชหรือการพักผ่อนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในสำนักงาน
-
การใช้วัสดุที่มีการรีไซเคิล: การใช้วัสดุและเครื่องมือที่มีการรีไซเคิลหรือมีคุณภาพสูงและมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง
-
การส่งเสริมการใช้ยานพาหนะเขียว: ส่งเสริมการใช้ยานพาหนะเขียวเช่น รถยนต์ไฮบริดหรือรถยนต์ไฟฟ้า หรือส่งเสริมการใช้รถจักรยานหรือการเดินทางของพนักงาน
-
การสร้างการลดปริมาณขยะ: ส่งเสริมการรีไซเคิลและการลดขยะโดยการใช้กล่องบรรจุภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้
-
การส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างประหยัด: ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างประหยัดโดยการติดตั้งโปรแกรมควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าและการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อให้มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานมากขึ้น
-
การสร้างการลดการใช้น้ำ: ส่งเสริมการใช้น้ำอย่างประหยัด โดยการติดตั้งเครื่องประหยัดน้ำหรือการแนะนำการใช้น้ำที่มีประสิทธิภาพ
การทำกรีนออฟฟิศสามารถช่วยลดราคาในการดำเนินธุรกิจในระยะยาวโดยลดค่าใช้จ่ายในพลังงานและวัสดุ รวมถึงส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรในสังคมโดยทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญในการดำเนินธุรกิจ
การจัดฮวงจุ้ยในออฟฟิศ
การจัดฮวงจุ้ยในออฟฟิศ เป็นศาสตร์ที่เชื่อว่าการจัดวางสิ่งต่างๆ ในออฟฟิศตามหลักฮวงจุ้ย จะช่วยส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองและความโชคดีให้กับองค์กร หลักการจัดฮวงจุ้ยในออฟฟิศที่สำคัญ ได้แก่
-
ประตูทางเข้า ประตูทางเข้าออฟฟิศควรอยู่ตรงกลางและกว้างขวาง เพื่อให้พลังงานสามารถไหลเวียนเข้ามาได้อย่างสะดวก ด้านหลังประตูทางเข้าไม่ควรมีสิ่งกีดขวาง เช่น ผนังหรือเสา เพื่อป้องกันพลังงานดีๆ ไหลออก
-
พื้นที่ทำงาน พื้นที่ทำงานควรจัดวางให้เหมาะสมกับประเภทของธุรกิจและลักษณะงานที่ทำ ตัวอย่างเช่น ออฟฟิศของธุรกิจด้านไอทีอาจต้องการพื้นที่ทำงานที่สว่างและโปร่งโล่ง ในขณะที่ออฟฟิศของธุรกิจด้านบริการลูกค้าอาจต้องการพื้นที่ทำงานที่อบอุ่นและผ่อนคลาย
-
โต๊ะทำงาน โต๊ะทำงานควรจัดวางให้หันหน้าไปทางประตูทางเข้า เพื่อรับพลังงานดีๆ เข้ามา ด้านหลังโต๊ะทำงานไม่ควรเป็นกำแพงทึบ เพื่อป้องกันพลังงานดีๆ ไหลออก ไม่ควรหันหน้าโต๊ะทำงานไปทางหน้าต่างหรือทางเดิน เพื่อป้องกันพลังงานกระจัดกระจาย
-
ตำแหน่งของผู้บริหาร ห้องทำงานของผู้บริหารควรอยู่ด้านหลังของออฟฟิศ เพื่อให้สามารถมองเห็นและควบคุมการทำงานได้อย่างทั่วถึง ด้านหลังห้องทำงานไม่ควรเป็นหน้าต่างหรือทางเดิน เพื่อป้องกันพลังงานดีๆ ไหลออก
-
สีสัน การเลือกสีสันในออฟฟิศควรเลือกสีที่สดใสและมีชีวิตชีวา เพื่อส่งเสริมพลังงานที่ดี หลีกเลี่ยงการใช้สีโทนมืดหรือสีฉูดฉาด เพราะอาจทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดและกดดัน
-
ต้นไม้มงคล การปลูกต้นไม้มงคลในออฟฟิศจะช่วยดูดซับพลังงานลบและส่งเสริมพลังงานที่ดี ต้นไม้มงคลที่นิยมปลูกในออฟฟิศ ได้แก่ ต้นไผ่กวนอิม ต้นโป๊ยเซียน ต้นกระบองเพชร ต้นหมากแดง เป็นต้น
การใช้พรมในการออกแบบออฟฟิศ
การใช้พรมในการออกแบบออฟฟิศมีข้อดีหลายอย่าง ทั้งในแง่ของความสวยงาม ฟังก์ชันการใช้งาน และบรรยากาศโดยรวมของพื้นที่ทำงาน นี่คือแนวทางและไอเดียในการเลือกและใช้งานพรมในออฟฟิศ:
1. ประโยชน์ของพรมในออฟฟิศ
ช่วยลดเสียงรบกวน – พรมสามารถดูดซับเสียงจากการเดิน การลากเก้าอี้ หรือเสียงพูดคุย ลดเสียงสะท้อน ทำให้ออฟฟิศเงียบขึ้น
เพิ่มความสบายในการเดิน – ช่วยลดแรงกระแทก ทำให้เดินสบายขึ้นเมื่อเทียบกับพื้นกระเบื้องหรือปูนเปลือย
เสริมสร้างบรรยากาศ – พรมมีหลากหลายสี ลวดลาย และพื้นผิว ช่วยให้การตกแต่งออฟฟิศดูโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์
สร้างพื้นที่แบ่งโซน – ใช้พรมในการแบ่งพื้นที่ทำงาน เช่น โซนประชุม โซนพักผ่อน หรือโซนต้อนรับลูกค้า
ช่วยเพิ่มความปลอดภัย – พรมลดโอกาสลื่นล้ม และช่วยป้องกันพื้นจากรอยขีดข่วน
2. ประเภทของพรมที่เหมาะกับออฟฟิศ
พรมแผ่น (Carpet Tiles) – เหมาะกับออฟฟิศขนาดใหญ่ สามารถติดตั้งและเปลี่ยนเฉพาะส่วนได้ง่าย
พรมม้วน (Broadloom Carpet) – เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการความหรูหราและไร้รอยต่อ
พรมขนสั้น (Low-Pile Carpet) – ดูแลรักษาง่าย ทนทานต่อการใช้งานหนัก
พรมขนยาว (High-Pile Carpet) – ให้ความรู้สึกนุ่มหรู เหมาะกับพื้นที่พักผ่อนหรือล็อบบี้
พรมปูเฉพาะจุด (Area Rugs) – ใช้เป็นจุดเด่นของห้อง เช่น ในห้องประชุมหรือบริเวณรับแขก
3. การเลือกสีและลวดลายพรมให้เหมาะกับออฟฟิศ
สีเข้ม – ช่วยซ่อนคราบและเพิ่มความหรูหรา เช่น เทา ดำ น้ำเงินเข้ม
สีอ่อน – ทำให้พื้นที่ดูกว้างขึ้นและสว่างขึ้น เช่น ครีม เบจ เทาอ่อน
ลายเรขาคณิต – สร้างความทันสมัย ดูเป็นมืออาชีพ
หลักการออกแบบห้องประชุม (Meeting Room Design Principles)
ห้องประชุมเป็นพื้นที่สำคัญในออฟฟิศที่ใช้สำหรับการวางแผน ประชุมงาน เจรจาธุรกิจ และตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ดังนั้น การออกแบบห้องประชุมที่ดีต้องคำนึงถึงฟังก์ชัน ความสะดวกสบาย และบรรยากาศที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน
1. ขนาดและการจัดวางพื้นที่
🔹 ขนาดของห้องประชุม – ควรสอดคล้องกับจำนวนผู้ใช้งาน เช่น
-
ห้องประชุมเล็ก (4-6 คน) สำหรับการพูดคุยแบบไม่เป็นทางการ
-
ห้องประชุมกลาง (8-12 คน) สำหรับการประชุมภายในทีม
-
ห้องประชุมใหญ่ (15 คนขึ้นไป) สำหรับการประชุมเชิงกลยุทธ์หรือรับรองลูกค้า
🔹 การจัดวางโต๊ะและเก้าอี้ – เลือกแบบที่เหมาะกับลักษณะการประชุม เช่น
-
โต๊ะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า – เหมาะกับการประชุมเชิงธุรกิจที่มีลำดับชั้นชัดเจน
-
โต๊ะทรงกลม – ส่งเสริมบรรยากาศการทำงานร่วมกันอย่างเท่าเทียม
-
โต๊ะรูปตัวยู (U-Shape) – เหมาะกับการประชุมที่มีการนำเสนอ
-
การจัดที่นั่งแบบเธียเตอร์ – สำหรับการสัมมนาหรือการประชุมขนาดใหญ่
2. การออกแบบแสงและสี
💡 แสงสว่าง
-
ควรมี แสงธรรมชาติ จากหน้าต่างเพื่อลดความเมื่อยล้า
-
ใช้ ไฟ LED สีขาวนวล (Neutral White, 4000K-5000K) เพื่อความคมชัด
-
ติดตั้ง ไฟแบบ Dimmable ปรับความสว่างได้ตามสถานการณ์
🎨 สีของห้องประชุม
-
สีอ่อน (เช่น ขาว ครีม เทาอ่อน) – ช่วยให้บรรยากาศสงบและดูโปร่ง
-
สีน้ำเงินเข้ม / เทาเข้ม – ให้ความรู้สึกเป็นมืออาชีพ
-
สีเขียวอ่อน / ฟ้าอ่อน – กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และลดความเครียด
-
สีโทนแบรนด์ขององค์กร – สร้างอัตลักษณ์และบรรยากาศที่เข้ากับวัฒนธรรมองค์กร
3. เทคโนโลยีและอุปกรณ์
📽 อุปกรณ์ที่จำเป็น
✅ โปรเจ็กเตอร์หรือจอ LED ขนาดใหญ่ สำหรับการนำเสนอ
✅ ระบบ Video Conference สำหรับการประชุมออนไลน์
✅ กระดานไวท์บอร์ด / กระดานอัจฉริยะสำหรับการวางแผน
✅ ปลั๊กไฟและพอร์ต USB ตามจุดต่างๆ เพื่อความสะดวก
🔊 ระบบเสียง
-
ติดตั้งไมโครโฟนและลำโพง เพื่อให้เสียงชัดเจนทั่วห้อง
-
ใช้พรมหรือแผ่นซับเสียง ลดเสียงสะท้อน
📶 การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
-
ติดตั้ง Wi-Fi ความเร็วสูง
-
ใช้สาย LAN ในจุดสำคัญสำหรับความเสถียร
4. เฟอร์นิเจอร์และความสบาย
🪑 เก้าอี้ประชุม
-
เลือกแบบที่นั่งสบาย รองรับการประชุมนานๆ
-
ใช้วัสดุที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ตาข่าย (Mesh)
🛋 โซนพักผ่อน (Optional)
-
สามารถเพิ่มมุมนั่งเล่นสำหรับการประชุมแบบไม่เป็นทางการ
-
ใช้เฟอร์นิเจอร์แบบโมดูลาร์เพื่อปรับเปลี่ยนได้ง่าย
5. การออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ (Ergonomic Design)
🔹 ความสูงโต๊ะประชุม – ควรอยู่ที่ 72-75 ซม. เพื่อความสบาย
🔹 ระยะห่างระหว่างที่นั่ง – ควรมี 60-80 ซม. ต่อคน เพื่อความสะดวก
🔹 หน้าจอหรือโปรเจ็กเตอร์ – ควรติดตั้งที่ระดับสายตา ลดอาการปวดคอ
6. การจัดการเสียงและความเป็นส่วนตัว
🔇 การป้องกันเสียงรบกวน
-
ใช้วัสดุซับเสียง เช่น พรม แผ่นบุผนัง หรือม่านหนา
-
ติดตั้งประตูที่ปิดสนิท เพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก
🔒 ความเป็นส่วนตัว
-
ใช้กระจกแบบฝ้าหรือติดฟิล์ม ลดแสงสะท้อนและเพิ่มความเป็นส่วนตัว
-
เพิ่มฉากกั้นหรือม่านสำหรับการประชุมลับ
7. การออกแบบที่ยืดหยุ่นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
♻ การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
-
ใช้เฟอร์นิเจอร์จากวัสดุรีไซเคิล
-
ใช้พรมหรือพื้นไม้ที่มีมาตรฐาน Green Certified
🔄 ความยืดหยุ่นของพื้นที่
-
ใช้เฟอร์นิเจอร์แบบเคลื่อนย้ายได้ ปรับการใช้งานได้หลายรูปแบบ
-
ออกแบบให้สามารถปรับขนาดห้องประชุมโดยใช้พาร์ทิชันพับได้
สรุป
ห้องประชุมที่ดีควรออกแบบโดยคำนึงถึง ฟังก์ชัน ความสะดวกสบาย เทคโนโลยี และบรรยากาศ เพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการให้ห้องประชุมมีความเป็นเอกลักษณ์ สามารถปรับให้เข้ากับ วัฒนธรรมองค์กร และ สไตล์การทำงานของทีม ได้ 😊
หลักการออกแบบออฟฟิศเพื่อเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร
1. เปิดโอกาสให้สื่อสารกันมากขึ้น (Collaboration & Transparency)
-
ใช้พื้นที่แบบเปิด (Open plan) ลดผนังกั้นที่ไม่จำเป็น
-
มีพื้นที่ “Co-working zones” หรือ “Café spaces” ให้พนักงานพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ
-
ใช้กระจกแทนผนังทึบ เพื่อสร้างความโปร่งใส สื่อถึงความเชื่อใจกันภายในทีม
2. ส่งเสริมความยืดหยุ่น (Flexibility & Autonomy)
-
มีพื้นที่ให้เลือกใช้งานตามประเภทของงาน เช่น โซนเงียบสำหรับโฟกัส, โซนกลุ่มสำหรับระดมความคิด
-
มีโต๊ะทำงานแบบ Hot desk หรือการอนุญาตให้เลือกที่นั่งเอง
-
รองรับการทำงานแบบ Hybrid หรือ Remote
3. เชื่อมโยงกับค่านิยมองค์กร (Brand & Culture Integration)
-
ใช้สี โลโก้ หรือวัสดุที่สะท้อนภาพลักษณ์องค์กร
-
มีพื้นที่ที่บอกเล่า “เรื่องราว” ขององค์กร เช่น Timeline, Wall of Fame, Value wall
-
สื่อสารวัฒนธรรมผ่านภาพ เสียง หรืออินเตอร์แอคทีฟ
4. ใส่ใจสุขภาพและความเป็นอยู่ (Wellbeing-Oriented Design)
-
มีแสงธรรมชาติถ่ายเทเพียงพอ
-
มีมุมผ่อนคลาย เช่น ห้องเงียบ มุมนั่งสมาธิ ห้องพักผ่อน
-
มีพืชสีเขียวหรือพื้นที่สีเขียวในออฟฟิศ (Biophilic design)
5. กระตุ้นนวัตกรรมและการเรียนรู้ (Innovation & Learning Culture)
-
พื้นที่ Brainstorm ห้อง Think Tank ที่มีอุปกรณ์สนับสนุนการคิดสร้างสรรค์
-
พื้นที่เวิร์กชอป หรือ Learning corner สำหรับแชร์ความรู้
-
พื้นที่จัดกิจกรรมภายใน เช่น Mini stage หรือพื้นที่จัดกิจกรรมบริษัท
การออกแบบออฟฟิศ
เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี เพิ่มประสิทธิภาพ และสะท้อนภาพลักษณ์ขององค์กรได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันมีแนวคิดและเทรนด์การออกแบบที่หลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการและลักษณะธุรกิจที่แตกต่างกัน สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนเริ่มออกแบบออฟฟิศ ก่อนที่จะลงมือออกแบบออฟฟิศ ควรพิจารณาปัจจัยสำคัญเหล่านี้ เพื่อให้ได้ออฟฟิศที่ตอบโจทย์และคุ้มค่าที่สุด:
วัตถุประสงค์และวัฒนธรรมองค์กร:
ออฟฟิศของคุณต้องการสื่อถึงอะไร อยากให้พนักงานทำงานแบบไหน มีวัฒนธรรมองค์กรแบบไหน (เช่น เน้นความร่วมมือ, เน้นความคิดสร้างสรรค์, เน้นความเป็นส่วนตัว) สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อการจัดวางพื้นที่และสไตล์การออกแบบ
* จำนวนพนักงานและรูปแบบการทำงาน:
* จำนวนพนักงานปัจจุบันและอนาคต: ควรเผื่อพื้นที่สำหรับการขยายตัวของพนักงานในอนาคต
* รูปแบบการทำงาน: ทำงานเดี่ยว, ทำงานเป็นทีม, มีการประชุมบ่อยแค่ไหน, ทำงานแบบ Hybrid (ผสมผผสานการทำงานที่ออฟฟิศและที่บ้าน) สิ่งนี้จะกำหนดประเภทของพื้นที่ที่จำเป็น เช่น โต๊ะทำงานส่วนตัว, ห้องประชุม, พื้นที่ co-working, หรือพื้นที่สำหรับประชุมออนไลน์
* งบประมาณ: กำหนดงบประมาณที่ชัดเจนสำหรับการออกแบบ ตกแต่ง และจัดซื้อเฟอร์นิเจอร์ เพื่อให้สามารถวางแผนและเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสม
* ค่าออกแบบ: โดยทั่วไปจะคิดเป็นร้อยละของมูลค่าโครงการ หรือคิดตามพื้นที่ต่อตารางเมตร
* ค่าตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์: ควรคำนึงถึงคุณภาพและความเหมาะสมกับการใช้งานในระยะยาว
* ขนาดและลักษณะพื้นที่: พื้นที่ออฟฟิศมีขนาดเท่าไหร่? รูปทรงเป็นอย่างไร? มีข้อจำกัดอะไรบ้าง (เช่น เสา, หน้าต่าง) แสงธรรมชาติและการระบายอากาศเป็นอย่างไร?
* ความยืดหยุ่นและการปรับเปลี่ยน: ออฟฟิศในยุคปัจจุบันควรมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เช่น การเพิ่มจำนวนพนักงาน หรือการเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน
* สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน (Well-being): การออกแบบที่ส่งเสริมสุขภาพกายและใจของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ถูกต้องตามหลัก Ergonomics, การจัดแสงที่เหมาะสม, การมีพื้นที่สีเขียว, หรือพื้นที่พักผ่อน
* เทคโนโลยี: พิจารณาการนำเทคโนโลยี Smart Office มาใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น ระบบจองห้องประชุม, ระบบควบคุมแสงและเสียง, หรือระบบรักษาความปลอดภัย แนวคิดและประเภทการออกแบบออฟฟิศยอดนิยม ในปัจจุบันมีแนวคิดการออกแบบออฟฟิศที่ได้รับความนิยมหลากหลาย เพื่อตอบโจทย์การทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป:
* Hybrid Office Design: เป็นแนวคิดที่ยืดหยุ่นที่สุด เหมาะสำหรับองค์กรที่พนักงานทำงานทั้งจากที่บ้านและที่ออฟฟิศ โดยจะเน้นการจัดสรรพื้นที่ที่หลากหลาย:
* โซนทำงานร่วมกัน (Collaborative Zones): พื้นที่เปิดโล่งสำหรับการประชุม, ระดมสมอง, หรือทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม
* โซนทำงานที่ต้องการสมาธิ (Focused Work Zones): พื้นที่ส่วนตัวหรือโต๊ะทำงานที่เงียบสงบ สำหรับการทำงานที่ต้องการสมาธิสูง
* โซนประชุมเสมือนจริง (Virtual Meeting Rooms): ห้องที่ออกแบบมาเพื่อการประชุมออนไลน์โดยเฉพาะ มีอุปกรณ์ครบครันและช่วยลดเสียงรบกวน
* Biophilic Design (การออกแบบที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ): การนำองค์ประกอบทางธรรมชาติเข้ามาในพื้นที่ทำงาน เช่น ต้นไม้, แสงธรรมชาติ, วิวภายนอก, หรือวัสดุธรรมชาติ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย สดชื่น และช่วยลดความเครียด
* Activity-Based Working (ABW): การจัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสมกับกิจกรรมการทำงานที่แตกต่างกัน พนักงานสามารถเลือกพื้นที่ทำงานที่ตอบโจทย์กิจกรรมนั้นๆ ได้ เช่น โต๊ะทำงานส่วนตัว, โซนทำงานเงียบ, พื้นที่สำหรับคุยโทรศัพท์, หรือห้องประชุมขนาดต่างๆ
* Smart Office: การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการและเพิ่มความสะดวกสบายในออฟฟิศ เช่น ระบบควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะ, ระบบจองพื้นที่, ระบบรักษาความปลอดภัย, หรืออุปกรณ์ประชุมที่ทันสมัย
* Home-Like Office: การออกแบบที่สร้างบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเองเหมือนอยู่บ้าน เพื่อให้พนักงานรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจในการทำงานมากขึ้น อาจมีการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ดูอบอุ่น, โซฟา, หรือมุมพักผ่อนสบายๆ
* Minimalist Design: เน้นความเรียบง่าย สะอาดตา ลดความยุ่งเหยิง เน้นฟังก์ชันการใช้งาน และการจัดเก็บที่เป็นระเบียบ
* Industrial Loft Style: เน้นความดิบ เท่ ด้วยการโชว์โครงสร้างอาคาร ท่อต่างๆ ผนังปูนเปลือย อิฐบล็อก ผสมผสานกับเฟอร์นิเจอร์โลหะและไม้ องค์ประกอบสำคัญในการออกแบบออฟฟิศ เมื่อเลือกแนวคิดได้แล้ว มาดูองค์ประกอบหลักที่ต้องพิจารณาในการออกแบบ:
* Layout (การจัดวางผัง):
* Open Plan: พื้นที่เปิดโล่ง ไม่มีผนังกั้นมากนัก ส่งเสริมการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน
* Closed Plan: มีห้องทำงานส่วนตัวหรือห้องกั้นแยกชัดเจน เหมาะสำหรับงานที่ต้องการสมาธิสูงหรือความเป็นส่วนตัว
* Hybrid: ผสมผสานทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน * เฟอร์นิเจอร์:
* Ergonomics: เลือกเก้าอี้ โต๊ะ และอุปกรณ์ที่รองรับสรีระ ช่วยลดอาการปวดเมื่อยและส่งเสริมสุขภาพ
* ความยืดหยุ่น: เฟอร์นิเจอร์ที่สามารถปรับเปลี่ยนหรือเคลื่อนย้ายได้ง่าย
* คุณภาพ: ลงทุนกับเฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณภาพดี เพื่อการใช้งานที่ยาวนาน
* แสงสว่าง:
* แสงธรรมชาติ: ใช้ประโยชน์จากแสงธรรมชาติให้มากที่สุด เพื่อลดการใช้พลังงานและสร้างบรรยากาศที่ดี
* แสงประดิษฐ์: ติดตั้งไฟให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ (เช่น แสงสว่างเพียงพอสำหรับโต๊ะทำงาน, แสงอบอุ่นสำหรับพื้นที่พักผ่อน) ควรเลือกใช้ไฟที่ถนอมสายตา
* สีและวัสดุ:
* สี: เลือกโทนสีที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์กรและส่งเสริมอารมณ์ที่ต้องการ (เช่น สีโทนเย็นช่วยให้สงบ, สีสดใสช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์)
* วัสดุ: เลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทนทาน และดูแลรักษาง่าย
* ระบบเสียงและการควบคุมเสียง: ในออฟฟิศเปิดโล่ง การควบคุมเสียงรบกวนเป็นสิ่งสำคัญ อาจใช้แผงดูดซับเสียง, ฉากกั้น, หรือการออกแบบพื้นที่ให้เสียงไม่รบกวนกัน
* พื้นที่พิเศษ:
* ห้องประชุม: ขนาดและจำนวนที่เหมาะสม
* ห้องโทรศัพท์/ห้องส่วนตัว (Focus Pods): สำหรับการคุยโทรศัพท์หรือทำงานที่ต้องการสมาธิ
* พื้นที่พักผ่อน/Pantry: มุมกาแฟ, พื้นที่ทานอาหาร, โซฟาสำหรับพักผ่อน
* พื้นที่สีเขียว: การจัดวางต้นไม้ภายในออฟฟิศ
* ห้องละหมาด/ห้องสำหรับแม่และเด็ก: หากองค์กรมีนโยบายรองรับ กระบวนการออกแบบออฟฟิศโดยทั่วไป การออกแบบออฟฟิศมักจะดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้:
* ปรึกษาเบื้องต้นและกำหนดความต้องการ: ทำความเข้าใจธุรกิจ, วัฒนธรรมองค์กร, จำนวนพนักงาน, งบประมาณ, และความต้องการพิเศษต่างๆ
* สำรวจพื้นที่และวิเคราะห์: ตรวจสอบพื้นที่จริง, ขนาด, แสง, ข้อจำกัด, และศักยภาพของพื้นที่
* พัฒนาแนวคิดการออกแบบ: นำข้อมูลที่ได้มาสร้างแนวคิด (Concept Design) และจัดทำแผนผัง (Layout Plan) รวมถึงภาพ 3D
* นำเสนอและปรับแก้: นำเสนอแนวคิดให้ลูกค้าพิจารณา และปรับแก้ตามความต้องการ
* จัดทำแบบก่อสร้างและรายละเอียด: เมื่อได้แนวคิดที่ลงตัว จะมีการจัดทำแบบก่อสร้างและรายละเอียดทั้งหมดสำหรับผู้รับเหมา
* ควบคุมการก่อสร้างและติดตั้ง: ดำเนินการก่อสร้าง ตกแต่ง และติดตั้งเฟอร์นิเจอร์
* ส่งมอบงาน: ตรวจสอบความเรียบร้อยและส่งมอบออฟฟิศให้ลูกค้า การออกแบบออฟฟิศเป็นการลงทุนที่สำคัญ ควรใช้เวลาในการศึกษาและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ออฟฟิศที่สวยงาม ใช้งานได้จริง และส่งเสริมการทำงานของพนักงานได้อย่างยั่งยืน หากคุณมีแนวคิดหรือข้อจำกัดเพิ่มเติม เช่น จำนวนพนักงาน, งบประมาณคร่าวๆ, หรือประเภทธุรกิจ สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย เพื่อจะได้ช่วยแนะนำแนวทางที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นครับ